สวัสดีค่าาา กลับมาโพสต์เรื่องสาระกันอีกซักครั้ง บอกเลยว่าโพสต์นี้มือใหม่สมัครงานหรือมือฉมังก็อ่านดี ใครอ่านแล้วมีทริคหรือเทคนิคอื่นๆมาแชร์กันได้นะคะ บทความนี้ไม่มี Tie-in บริษัทจัดหางาน, Recruiter อะไรทั้งนั้น แค่อยากมาแชร์ประสบการณ์และเทคนิคการสมัครงานล้วนๆ สบายใจได้จ้าว่าไม่มีขายของ
ก่อนอื่นออกตัวก่อนเลยว่าไม่ได้เซียน ไม่ได้เปิดอบรมใดๆทั้งสิ้น สิ่งที่จะเขียนต่อไปนี้มาจากประสบการณ์ที่เป็นผู้สมัคร และช่วงหลังๆมานี้เป็นผู้สัมภาษณ์เยอะเหมือนกัน เลยได้เห็น resume หลายๆแบบ เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์กับน้องๆหรือเพื่อนๆที่รู้สึกว่าทำไมเวลาส่งใบสมัครอะไรไป อัตราการตอบกลับเนี่ยน้อยเหลือเกิน ในที่นี้จะไม่ไปแตะถึงใน Resume ต้องมีข้อมูลอะไรบ้างบลาๆๆ เพราะรู้สึกว่าข้อมูลพวกนี้หาได้ในอินเตอร์เน็ตทั่วๆไป ฝนขอเจาะเฉพาะข้อมูลสำคัญๆ หรือสิ่งที่คนจะชอบลืมกันแล้วกันนะคะ
เทคนิคสมัครงานให้ได้งาน
1. Resume คือ First Impression
ถ้าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ Resume ก็คงเหมือนเป็น First Impression ที่ผู้สัมภาษณ์หลายๆคนจะมอง และเลือกว่าจะเรียกสัมภาษณ์คนๆนั้นหรือไม่ แล้ว Resume ที่ดี ต้องมีลักษณะยังไง
- รู้จักบริษัท/อุตสาหกรรมที่เราจะไปสมัครก่อน เช่น เราไปสมัครบริษัทประเภทไหน Creative agency, บัญชี, การตลาด ทางการ หรือ Friendly มากน้อยแค่ไหน Mood & Tone ก็ควรเป็นไปตามอุตสาหกรรมนั้นๆ อาจจะดูเหมือนเรื่องเล็กน้อย แต่บอกเลยว่ามันทำให้สะดุดตา หรือปล่อยเลยได้เหมือนกัน เช่น คุณกำลังไปสมัครบริษัทที่เป็น Creative Agency แต่ Resume ออกมายังกับนักบัญชี เช่นเดียวกัน คุณกำลังจะไปสมัครบัญชีที่ค่อนข้างเป็นตัวเลข เป็นระเบียบ แต่ Resume ที่ไปนี่สีสันฉูดฉาด มันก็คงไม่เข้ากันเท่าไหร่จริงไหมคะ
- ข้อมูลข้างในก็ต้องเป็นข้อมูลที่สำคัญจริงๆ ไม่ใช่ใส่งานอดิเรกมา 5 6 อย่าง แต่ไม่มีข้อมูลเกี่ยวข้องกับสายงานที่ทำเลย ประวัติการศึกษา ไม่ต้องร่ายยาวไปถึงอนุบาล 1 อนุบาล 2 ขนาดนั้น หรือถ้าจะเขียนจริงๆก็เขียนรวมๆ ไม่ต้องลงถึงกับว่าเลือกเรียนสายไหนอะไรยังไง
- ภาษาที่ใช้ แน่นอนว่าต้องเป็นทางการ อย่าสะกดผิด เช็คข้อมูลให้ดีๆ เพราะมันบ่งบอกถึงความละเอียดรอบคอบเหมือนกัน ขนาด Resume ที่ใช้สมัครงานยังทำให้ละเอียดให้ดีไม่ได้ แล้วถ้าได้มาทำงานที่บริษัท จะทำงานผิดพลาดรึเปล่าจริงไหม และถ้าสามารถทำได้ อยากแนะนำให้มี Resume 2 version ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ เวลาส่งก็ดูเอาว่าบริษัทนี้ดูใช้ภาษามากน้อยแค่ไหน หรือถาม HR/ คนที่เราติดต่อเลยก็ดี
- อย่าโกหกข้อมูลข้างใน ความเก่งกาจด้านภาษาเอย โปรแกรมเอย แต่ฝนพูดอย่างนี้ก็ไม่ใช่ว่า เอ้าาา งั้นใส่น้อยๆดีกว่า ตอนทำงานจริงจะได้ว้าว ถ้าใส่น้อยๆตั้งแต่ resume ก็ไม่โดนเรียกแล้วละค่ะ 555 เพราะฉะนั้นใส่ตามจริง และใส่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์นะคะ เพราะถ้าคุณใส่ Skill Speaking เป็น Very Good ฝนการันตีได้เลยว่าเค้าจะให้คุณแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษแน่นอน ซึ่งฝนเจอมาหลายคน แนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษได้คล่องเลย (เพราะเตรียมมา) แต่พอถามข้อมูลอื่นๆที่อาจจะไม่ได้เตรียมมาเช่น ทำไมอยากเข้าร่วมทำงานกับบริษัทนี้ ก็คือเงียบกริบพูดไม่ได้เลย ยังงี้ไม่เรียกว่า Very Good นะคะ
อย่าโกหกเรื่องความสามารถแม้แต่อย่างเดียว
เพราะสุดท้ายเค้าจะพิสูจน์ความจริงในห้องสัมภาษณ์
หรือในการทำงานจริงอยู่ดี
2. Cover Letter คือใบเบิกทาง
ไม่รู้ว่าเด็กๆรุ่นนี้รู้จัก Cover Letter หรือจดหมายสมัครงานกันบ้างไหม สำหรับฝนที่เคยทำมาบอกเลยว่าโคตรเวิร์ค Win Rate ในการเรียกสัมภาษณ์สูงมาก แล้วไอ้ Cover Letter นี่มันคืออะไร ดียังไง
-
- มันคือจดหมายสมัครงาน หรือใบปะหน้า เพราะใน Resume เราคงไม่สามารถเขียนรายละเอียดได้หมดจริงไหม
-
- Cover Letter มีหน้าที่ทำให้บริษัทรู้จักเรา และเห็นความตั้งใจจริงของเรามากขึ้น เช่น เราคือใคร ทำไมถึงอยากทำงานสายนี้ ทำไมถึงอยากทำงานกับบริษัทนี้ ถ้าเราเป็นพนักงานที่นี่ บริษัทจะได้อะไรกับเรา เราจะดีใจแค่ไหนถ้ามีโอกาสได้ร่วมงานกับที่นี่
-
- Cover Letter สามารถทำได้ในพวกเว็บรับสมัครงานต่างๆอย่าง Jobsdb สามารถอัพโหลดไปพร้อม Resume ตอนกดสมัครงานได้เลย
-
- Cover Letter ก็เหมือนกับ Resume ค่ะ ที่เราควรมีหลายๆ Version เช่น ถ้าน้องเป็นเด็กจบใหม่ ยังไม่รู้ว่าจะทำงานอะไรดี แต่อยากมาสาย Digital Marketing น้องจะไปสมัครเป็น Planner ด้วย เป็น Bidding โฆษณาหลังบ้านด้วย เป็น AE ด้วย สิ่งที่น้องควรมีคือ 1 Resume แต่ Cover Letter 3 รูปแบบ
-
-
- รูปแบบแรกสำหรับ Planner ในจดหมายอาจจะโชว์เรื่อง Time management ว่าเราจัดการเวลาหรือจัดการเรื่อง Priority ได้ดีมากน้อยแค่ไหน เช่น ตอนที่อยู่มหาลัยเราอาจจะเป็นคนวางตารางจัดกิจกรรมคณะนักศึกษา เป็นต้น
- รูปแบบสองสำหรับสมัคร Bidding อาจจะโชว์เรื่องความละเอียดรอบคอบ, ทำไมเราถึงชอบตัวเลข หรือเป็นคนสนใจ Detail ขนาดไหน
- รูปแบบสามสำหรับสมัคร AE โชว์ด้านกิจกรรมไปเลยจ้าา ประสานงานเก่ง แก้ไขเฉพาะหน้าเก่ง ติดต่อเก่ง
- ภาษาที่ใช้ใน Cover Letter ก็เช่นกัน ดูเอาว่าบริษัทนั้นเป็น International หรือมีลูกค้าต่างชาติมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีเยอะก็ Cover Letter ภาษาอังกฤษไปโลดค่ะ
-
-
- ตัวอย่าง Cover Letter มีเยอะมากในอินเตอร์เน็ต search หาโลด ถ้าเป็นการสมัครผ่านอีเมล แนะนำให้ Copy ข้อมูลแปะลงไปในอีเมลเลยแล้วแนบแค่ Resume พอ
3. ส่งให้เยอะ แต่อย่าหว่าน
เหมือนกับจับปลาในแม่น้ำ ยิ่งเราขว้างแหไปได้ไกลเท่าไหร่ ก็มีโอกาสที่จะได้ปลากลับมาเยอะเท่านั้น แต่ตอนสมัครงานห้ามส่งใบสมัครแบบหว่านเด็ดขาด หว่านในที่นี้คือหลับหูหลับตาส่ง เช่น บริษัทประกาศรับสมัครพนักงานที่มีประสบการณ์ขั้นต่ำ 5 ปี นี่ยังไม่มีแม้แต่ปีเดียวก็ส่งไป ยังงี้เรียกว่าหว่าน
- การหว่านไม่มีผลดีใดๆเลย ในเมื่อคุณสมบัติพื้นฐานยังไม่ตรง เค้าจะเรียกคุณมาสัมภาษณ์ทำไม นอกซะจากว่าเค้าเขียนว่ารับประสบการณ์อย่างน้อย 1 ปี และยินดีรับพิจารณาเด็กจบใหม่ อะ อันนี้ส่งได้จ้า
- หว่านไปอาจส่งผลเสียอีกอย่างคือ ครั้งแรกคุณอาจจะหลับหูหลับตาส่งไป แน่นอนว่าคนที่ได้รับ Resume ของคุณ อาจจะมี Perception ที่ไม่ดีกับคุณ เพราะรู้ว่าคุณหว่านส่งมั่วๆ แต่ใครจะไปรู้ในอนาคตอาจจะมีตำแหน่งที่คุณอยากได้ในบริษัทนี้มากๆ แล้วพอคุณส่งไป ถ้าเค้าจำชื่อคุณได้และยังมี Perception ที่ไม่ดีกับคุณอยู่ก็น่าเสียดาย
- อย่าส่ง Resume แบบว่าส่งไป 1 ที่ รอผล แล้วค่อยส่งอีกที่ มันเสียเวลามาก ส่งให้ครบ ให้เยอะ แล้วมาจัดตารางสัมภาษณ์ ตอนฝนสมัครงานนี่ วันนึงไปสัม 2-3 บริษัทได้ สัมทั้งหมดประมาณ 5-10 ที่ กว่าจะเลือกว่าเราจะทำงานที่ไหน
- จำไว้ ยิ่งถ้าเราสมัครเยอะ ยิ่งมีตัวเลือกเยอะ อย่าได้ที่ๆนึงแล้วเอาเลย (นอกจากว่าชอบงานนี้มากกกๆๆๆ คลิกมากๆๆๆๆ อันนั้นแล้วแต่ใจต้องการเลย)
4. เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องเป็นใคร
ไม่ต้องไป Copy Character ใครมาทั้งนั้น เพราะถ้าเค้ารับคุณเข้าทำงานแล้ว สุดท้ายคุณก็ต้องเป็นตัวของตัวเองอยู่ดี แต่ขอขีดเส้นใต้คำว่า ‘กาลเทศะ‘ ไว้หน่อย เป็นตัวเองในที่นี้ไม่ใช่แบบว่า ปกติเป็นคนตลกโปกฮา ขำเอิ๊กๆอ๊ากๆ แต่จะมาสมัครตำแหน่ง Senior มันก็ไม่ต้องเป็นตัวเองขนาดนั้น ทำให้เป็นคนที่ตลกแบบมีชั้นเชิง มีกาละเทศะ จริงๆฝนก็เป็นคนที่ตลกมากนะ แต่เวลาจริงจังก็จริงจังเอาเรื่อง การที่เราเป็นคนดูตลกไปซะทุกเรื่อง บริษัทไม่มั่นใจแน่นอนว่าจะฝากผีฝากไข้ของเราไว้ได้รึเปล่า ให้งานมันไปแล้วมันจะมานั่งเอิ๊กๆอ๊ากๆรึเปล่าวะ 55555
5. ถามตัวเองว่าจะโฟกัสอะไร
แต่ละคน แต่ละช่วงการทำงาน เรามีสิ่งที่โฟกัสไม่เหมือนกัน ช่วงแรกบางคนอาจจะโฟกัสที่เงินเดือนก่อน บางคนอาจจะโฟกัสที่ความรู้ ไม่ใช่เรื่องผิดที่เราจะโฟกัสเรื่องเงินนะ แต่ต้องยอมเราว่าเราโฟกัสสิ่งไหน ก็ได้สิ่งนั้น อย่างอื่นๆอาจจะได้เป็นรอง เช่น ถ้าเราโฟกัสที่เรื่องเงินเดือนเป็นหลัก ที่นั้นอาจจะแลกมาด้วยงานที่หนักหนาแบบไร้จุดหมายและไม่ได้ความรู้อะไร ทำงานแบบวัวแบบควาย ในขณะเดียวกันถ้าเราโฟกัสเรื่องความรู้ ที่นั่นอาจจะสอนงานเราหนักมากกก Challenge เรามากกก แต่พอดูเงินเดือนแล้วเกิดคำถามขึ้นในใจว่ามันคุ้มกับสิ่งที่ทำไปไหมวะ
เพราะฉะนั้น ถามตัวเองให้ดีว่าตอนนี้ + อีก 1-3 ปีข้างหน้า เรากำลังโฟกัสอะไร ถ้าบ้านคุณไม่ได้หนักหนาเรื่องเงินหรือเรื่องค่าใช้จ่ายมาก อยากบอกให้น้องๆทุกคนเลือกที่ที่เค้ามีความรู้ให้เรามากมาย ให้เราได้ทำหลายอย่าง เรื่องเงินไว้เป็นรอง เมื่อวันนึงคุณเก่ง คุณมีประสบการณ์ คุณผ่านความยากลำบากมา สิ่งที่คุณจะได้คือแต้มต่อในขณะที่คนที่อายุเทียบเท่ากันอาจจะยังไม่มี ตำแหน่งหน้าที่การงานที่ก้าวกระโดดกว่าคนอื่นๆ เงินเดือนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วไป (ไม่นับเงินเดือนหมอนะ ฮือออ T_T)
6. เรื่องไม่ดีพูดให้น้อย เรื่องดีพูดให้เยอะ
แน่นอนว่าความจริงใจเป็นสิ่งที่ดี ถ้าหากคุณเคยลาออก/ โดนไล่ออกจากบริษัทเก่า สิ่งที่ผู้สัมภาษณ์ต้องถามอยู่แล้วคือ ‘ทำไมถึงลาออก’ ฝนเคยเจอบางคนนะ เล่าความจริงแบบ 100% คนๆนี้มันไม่โกหกบริษัทแน่ๆถ้ารับเข้าทำงาน 5555 แต่ต้องถามตัวเองคือ เค้ามีไหวพริบพอในการตอบคำถามไหม สติ การยั้งปาก หรือรู้ว่าอะไรควรไม่ควร คือเล่าความเน่าเฟะของบริษัท ความไม่ดีของหัวหน้า ความไม่ดีของเพื่อนร่วมงานแบบไม่เหลือชิ้นดีอะไรเลย ซึ่งเราไม่รู้นะว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง แต่เวลาเจอคำถามแบบนี้ สิ่งที่ต้องทำคือตอบความจริงแค่เพียงบางส่วนพอ ไม่ต้องเล่าทั้งหมด ใครจะไปรู้ว่าบริษัทที่เราสัมอยู่กับบริษัทเก่าเป็นเครือเดียวกันไหม เคยร่วมงานกันไหม รู้จักกันรึเปล่า โลกมันแคบกว่าที่คุณคิดเยอะนะ เพราะฉะนั้นอาจจะพูดประมาณว่า จริงๆที่นั่นเนื้องานโอเคนะคะหนูไม่ติดอะไรเลย แต่ Culture องค์กร หรือสไตล์การทำงาน ไม่เหมาะกับหนูซักเท่าไหร่ หนูค่อนข้างชอบออฟฟิศแบบเงียบๆ ใช้สมาธิ ถ้าพูดประมาณนี้มันก็จะค่อนข้างดูเป็น Neutral ไม่ได้ complain ที่เก่าซักเท่าไหร่
7. อย่าเตรียมพูดแต่ข้อดีของตัวเอง ให้เตรียมข้อเสียไปด้วย
เพราะไม่มีใคร Perfect ในโลกนี้ การจะสาธยายข้อดีของตัวเองให้คนอื่นๆฟังคงเป็นเรื่องง่าย และผู้สัมภาษณ์ก็ชอบที่จะฟังด้วยเพราะจะได้รู้ว่าข้อดีของคนๆนี้มีประโยชน์ต่อองค์กรเรามากน้อยแค่ไหน แต่สิ่งที่เค้าอยากได้ยินมากกว่านั้นคือ แล้วข้อเสียของคุณละ มีอะไรบ้าง แต่ตอบระวังๆหน่อย ถ้าสมมติคุณไปสมัครบัญชี แล้วบอกว่าข้อเสียคือเรื่องความละเอียดรอบคอบนี่จบเลยนะ หรือไปสมัคร AE/ คนประสานงาน แต่ข้อเสียคือเรื่องอารมณ์นี่ก็ไม่ได้ แต่ถ้าข้อเสียที่จะพูดไปเป็นยังงั้นจริงๆละก็ ต้องลองมาถามตัวเองแล้วล่ะว่าเราเหมาะกับตำแหน่ง/อาชีพนี้จริงๆใช่ไหม
8. อย่าสมัครงานแบบชุ่ยๆ เพราะมันจะทำให้คุณดูชุ่ย
นอกเหนือจากที่ฝนบอกไปว่าอย่าสมัครงานแบบหว่านแหแล้วนั้น อย่าสมัครงานชุ่ยๆในที่นี้หมายถึง ศึกษาเรื่องบริษัทซักหน่อย บริษัทนี้ชื่ออะไร เป็นธุรกิจประเภทไหน ลูกค้าเป็นใคร Service เด่นๆคืออะไร ตำแหน่งที่เราสมัครคืออะไร ต้องบอกตามตรงว่าฝนเคยเจอมาหลายคนมา สมัครตำแหน่งนี้มา แต่พอถามว่ารู้ไหมว่าตำแหน่งนี้ทำอะไรบ้าง ตอบไม่ได้ซักอย่าง ทั้งๆที่ตอนประกาศมีอยู่ใน Job Description เรียบร้อย นั่นแสดงว่าคุณไม่แม้แต่จะขวนขวาย หรือศึกษาหาข้อมูลมาก่อนสัมภาษณ์เลย มันทำให้เราเห็นถึงความชุ่ย และทำให้รู้สึกว่าจริงๆแล้วคุณก็ไม่ได้อยากได้ตำแหน่งนี้ซักเท่าไหร่หรอกนะ
9. สมัครผ่านอีเมลเถอะ ดีกว่าเยอะ
จริงอยู่ที่ทุกวันนี้ระบบสมัครงานต่างๆ มันสามารถกดสมัครผ่านระบบได้เลย แต่ลองสังเกตดีๆมีการประกาศสมัครงานหลายตำแหน่งเหมือนกัน ที่มีบอกว่า ‘สามารถสมัครผ่านปุ่ม Apply Now หรือส่งได้ที่อีเมล‘ ถ้ามีข้อความแบบนี้อยู่ในตำแหน่งที่คุณกำลังจะสมัครละก็ เชื่อเถอะ สมัครผ่านอีเมลเถอะ ดูเป็นทางการ, ดูมีความตั้งใจมากกว่า, ใส่ Cover Letter ได้ง่ายกว่า และไม่ต้องไปแข่งกับพื้นที่ที่มีคนสมัครจากปุ่ม Apply Now มาเป็นสิบเป็นร้อย
10. ความละเอียด แสดงถึงความละเอียดในตัวคุณ
อย่าคิดว่าชั้นเก่ง ชั้นโปรไฟล์ดี แล้วจะสมัครงานแบบชุ่ยๆได้ ยิ่งถ้าคุณเป็นคนเก่งด้วยแล้ว แล้วการสมัครงานมีความละเอียดขึ้นไปอีก จะทำให้คุณโดดเด่นกว่าผู้สมัครคนอื่นๆ หรือน้องๆจบใหม่ที่ยังไม่ได้เก่งทางด้านไหนเป็นพิเศษ การสมัครงานด้วยความละเอียด จะทำให้น้องโดดเด่นกว่าเพื่อนๆคนอื่นแน่นอน แล้วละเอียดในที่นี้หมายถึงอะไร
- หัวข้ออีเมลในการสมัครงาน เขียนให้เป็นทางการนิดนึง เช่น สมัครงานตำแหน่ง Digital Media Planner_ตามด้วยชื่อตนเอง ไม่ใช่เขียนแบบสั่วๆเช่น สมัครงาน, Resume หรืออย่างที่เคยเจอมั่วๆเลยนะ คือ fwd. จากอีเมลที่ส่งให้กับบริษัทอื่นมาค่า
- ชื่อไฟล์ต่างๆ Resume เอย, Portfolio เอย, Cover Letter เอย ใส่ใจกับมันหน่อย ไม่ใช่แนบไฟล์ผลงาน แล้วชื่อไฟล์เป็น DSC10284 มันไม่น่าประทับใจเอาซะเลย หรือแม้กระทั่งไฟล์ Resume บางคนก็เซฟโง่ๆเป็น 324.word
- ชื่อไฟล์ที่ควรใช้คือ ชื่อไฟล์ที่บอกได้ว่าไฟล์ๆนั้นคือไฟล์อะไรของใคร เช่น ชื่อคุณ_Resume ‘Christina_Resume_2020’ ดู Professional จะตาย
- ใช้ไฟล์ PDF เหอะ ไฟล์ Word ฟ้อนต์เด้งบ้างอะไรบ้าง ถ้าเซฟเป็น PDF ปลอดภัยชัวร์ๆไม่มีเด้งแน่นอน
- ความละเอียดเช็คซักนิด มาตรฐานก็คือขนาดกระดาษ A4 ก็โอเคแล้ว
- ตรวจคำสะกดให้ดี
- อีเมล ใช้ gmail เถอะ แล้วชื่ออีเมลควรดูเป็นอะไรที่ทางการ ไม่ใช่ fonzuuzaa@hotmail.com มันทำให้ดูเป็นเด็กก๊องก๋อยไปเลย สมัคร gmail เดี๋ยวนี้ง่ายจะตาย แปบเดียวก็ได้แล้ว เบสิคไปเลยก็คือชื่อจริง (ภาษาอังกฤษ) @gmail.com จบ
- ไปสัมภาษณ์ทั้งที เตรียมอุปกรณ์ไปซักหน่อย ปากกา สมุด ไม่ใช่มาแต่ตัวเปล่า แสดงความพร้อมให้เค้าเห็นซักนิด
11. ถ้าไม่ไป เลื่อนนัด แค่บอก อย่าหนีหาย
ฝนเจอผู้สมัครหลายคนมากนะ คอนเฟิร์มวัน เวลาที่สัมภาษณ์เรียบร้อย ถึงวันจริงติดต่อไม่ได้ ปิดเครื่องก็มี ถ้าหากมีธุระ หรือได้งานแล้ว ง่ายมากเลยนะคะ แค่โทรมาขอยกเลิกการสัมภาษณ์ ขอบคุณโอกาสอะไรก็ว่าไป ถึงแม้วันนี้เราจะไม่ได้อยากทำงานที่บริษัทนี้ แต่อย่าลืมนะคะ connection เป็นสิ่งสำคัญ บริษัทที่คุณหนีหายไป อาจจะเป็น 1 ในบริษัทของเครือใหญ่ๆ แล้วคิดว่าเค้าจะส่งรายชื่อหาในเครือเขาไหมว่าผู้สมัครนี้ หนีสัมภาษณ์ เพราะฉะนั้น แค่โทรบอกกันนะคะ ผู้สัมภาษณ์เข้าใจและไม่มีใครว่า แต่การที่หนีหาย ติดต่อไม่ได้ มันเสียเวลาทั้งคู่ แล้วทำให้ดูไม่เป็น Professional อีกด้วย
12. Reference ที่ดี ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ
สำหรับเพื่อนๆหรือคนที่เคยทำงานมาแล้วระดับนึง พยายามใส่ Reference จากหลายๆบริษัท ยิ่งตำแหน่งหลากหลายได้ยิ่งดีเลย เช่น หัวหน้างานโดยตรง หัวหน้างานอ้อมๆ และเพื่อนร่วมงานซักคน เห็นบางคนทำงานมา 3-4 ที่ แต่ใส่ reference คน 3 คนมาจากบริษัทเดียวกัน เป็นเพื่อนร่วมงานหมดเลย
หรือถ้าน้องๆที่จบใหม่อาจจะใส่ Reference เป็นอาจารย์, หัวหน้าคณะกรรมการนักศึกษา หรือรุ่นพี่ที่มีหน้าที่การงานดีๆก็ได้ค่ะ
Tool ที่จะช่วยชีวิต
1. Canva
เว็บที่จบทุกเรื่องดีไซน์ ไม่จำเป็นต้องมี Photoshop ไม่จำเป็นต้องมีสกิลการติดต่อก็ทำ Resume สวยได้ด้วย Canva
จะเอาไรละจ้ะ Template ทำ Resume, Presentation, Portfolio, การ์ดอวยพรวันเกิด มีหมด !!
นอกจากเลือกรูปแบบได้แล้ว เรายังเลือกได้ด้วยว่าอยากได้สไตล์ไหน จะเอา resume แบบ creative หรือจะเอาแบบ Modern ก็มีให้เลือก
แต่ถ้าเลือกมาแล้วยังไม่ถูกใจน่ะหรอ ปรับแต่งได้จ้าาา จะเอาอะไรจ๊ะ จะใส่ text เพิ่ม, รูป, กรอบ เลือกได้หมด
ทำเสร็จปึ๊บบบบบ แบบฟรีนะ ย้ำแบบฟรี โหลดเป็นรูปได้, PDF ได้ ซึ่งมันเขียนว่า small file size แต่เท่าที่ฝนใช้มาถือว่าคุณภาพดีใช้ได้เลยนะ แล้วที่สำคัญคือเราเซฟ project ไว้ได้ เผื่อต้องมาแก้ออนไลน์ทีหลังอีก
2. Coolors
ถัดมา สำหรับคนที่อยากเริ่มฝึกดีไซน์เอง แต่ยังจับคู่สีสวยๆไม่ถูก สีบ้งบ้าง สีโดดบ้าง ไม่ใช่ปัญหา ทุกคนจะเป็น Professional เรื่องการจับคู่สีได้ด้วยเว็บไซต์ https://coolors.co/
คอนเซ็ปต์คร่าวๆคือ เราสามารถหาคู่สีที่มัน match กันได้ โดยที่อาจจะดูเป็นสีตรงข้ามกันเลยด้วยซ้ำ แต่พอไปอยู่ในงาน design หรือ slide มันจะดูสวยงามแบบไม่ขัดตา
วิธีการหาคู่สี มี 2 แบบ
แบบแรก – หากเรามีสีในใจอยู่แล้ว เราอาจจะหาสีอื่นๆที่เข้ากันได้มา เช่น เรามีสีโลโก้ลูกค้าอยู่ จะหาคู่สีที่สามารถใช้ด้วยกันได้มาทำ slide
แบบสอง – ไม่มีสีอะไรในใจเลย ก็ให้มัน Generate ได้เลยจ้าด้วยการกด space bar 1 ครั้ง
ถ้าหากมีสีในใจอยู่แล้ว ให้กดตรง adjust แล้วเลือกสีที่ต้องการ
หลังจากนั้นกด Lock มันก็จะเข้าใจละว่า โอเคคค เราจะหาคู่สีอื่นๆที่เข้ากับสีนี้ได้ แล้วกด space bar 1 ครั้ง
พอกด space bar ไป 1 ครั้ง ความมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นนน มันเลือกสีอื่นๆที่เข้ากับสีแรกมาให้แล้วจ้าาา
ยังไม่พอออ ถ้าไม่มีสีในใจ มีแต่โทนสีรูปที่อยากได้ ให้อัพโหลดรูปลงไป มันจะหามาให้ว่าในภาพๆนั้นมีสีอะไรบ้าง โอโหห Mega Clever สุดๆ
3. Photoshop Online
License photoshop มันแพงอะเนอะ 555 หนักเครื่องอีกต่างหาก ไม่ต้องห่วง !! ขอแนะนำเว็บ https://www.photopea.com/ เว็บ Photoshop online ที่ทำได้เหมือนกับ Photoshop ในเครื่องเกือบ 100%
สำหรับคนที่ไม่ได้เซียน Photoshop มาก ถือว่า tool นี้มี function ให้ใช้ครบเลย แต่งสี, ทำ dicut, กำหนดไซส์ได้
ส่วนไฟล์ที่ทำสามารถ export ออกมาได้หมดเลย PNG, JPG, GIF, PDF ทำได้หมด ยกเว้น Export แบบ PSD
4. มีโปรแกรมดีแล้ว อย่าลืมใช้ Font สวยๆ
ถ้าฟ้อนต์ภาษาไทยสวยๆ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเว็บ https://www.f0nt.com/ ใน resume อาจจะใช้ฟ้อนต์สวยๆได้ แต่เน้นให้อ่านง่าย อย่าสวยเกินจนเป็นฟ้อนต์ลายมือหรือเด็กเกินไป
ส่วน Font ภาษาอังกฤษสวยๆ ต้องยกให้ Dafont.com จะเอาฟ้อนต์ลายมือ ทางการ หรือแบบน่ากลัวๆก็มี แต่อย่าใช้เลย 5555
สรุป
โดยสรุปคือ การสมัครงานให้ได้งานและประทับใจผู้สัมภาษณ์คงไม่ใช่ง่ายๆ แต่ก็ไม่ได้ยากจนเกินไป หลักการง่ายๆคือหากเราทุ่มเท ให้เวลากับมัน ละเอียด ผลลัพธ์ที่ได้ออกมา มันจะสวยงาม และดูรู้ว่าเราตั้งใจกับมันแค่ไหน อยากฝากบอกน้องๆที่กำลังจะจบ หรือคนที่เพิ่งเริ่มหางานใหม่ๆว่า อย่าลืมใส่ใจกับสิ่งเล็กๆน้อยๆ เพราะต่อให้ประวัติคุณจะดีแค่ไหน จะเก่งแค่ไหน แต่อย่าลืมว่าประตูแรกในการเรียกสัมภาษณ์งานมันคือ Resume และการแนะนำตัวล้วนๆ ขอให้ทุกคนโชคดีค่ะ
ติดตามกันได้ที่
Blog : https://reviewfollowme.com/
Facebook Page : https://www.facebook.com/reviewfollowme